บล.เมย์แบงก์ คาดตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังปรับขึ้น จากความชัดเจนทางการเมือง ฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจหนุน GDP Growth 67 ขยายตัว 2.4%YoY แรงขับเคลื่อนจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่จะเร่งตัวตาม High Season และภาคส่งออกขยายตัวตามเศรษฐกิจคู่ค้า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงคาดการณ์ EPS 67 ที่ 94.7 บาท/หุ้น ขยายตัว 24%YoY
นอกจากนั้น ยังคาดการณ์ Fund Flow จะเป็นบวกหลัง FED ลดดอกเบี้ยฯ และได้แรงหนุนเพิ่มจากกองทุน TESG และการเตรียมจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ คงเป้าหมาย SET Index ปลายปีที่ 1600 จุด (บนสมมติฐาน EPS 94.7 บาท/หุ้นและ PER เฉลี่ย 10 ปี 16.9 เท่า)
โดยแนะ 3 ธีมการลงทุนกับ 7 หุ้น Top Pick
1) หุ้นได้ประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ
TASCO (TP 20 บาท) ผลประกอบการ 2Q67 ดีขึ้นเมื่อเทียบ 1Q67 จากปริมาณขายยางมะตอยในประเทศที่เพิ่มขึ้นผสานอัตรากำไรของยางมะตอยฟื้นตัว ขณะที่ 3Q67 มีแนวโน้มจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามเม็ดเงินลงทุนภาครัฐฯ
SCCC (TP 165 บาท) คาดว่าราคาปูนซีเมนต์จะสูงขึ้นและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามการเบิกจ่ายงบของรัฐฯ และได้ประโยชน์จากการควบคุมต้นทุนหนุนต่ออัตราการทำกำไรที่ต่อเนื่อง
CK (TP 26 บาท) ราคาหุ้นร่วงแรงตอบรับความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่แนวโน้มกำไรยังเติบโตตามรายได้ธุรกิจหลักและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเงินลงทุนในบริษัทลูกอย่าง BEM CKP
2) หุ้นได้ประโยชน์จากภาคท่องเที่ยวเตรียมเข้าสู่ High Season
AOT (TP 74 บาท) ราคาหุ้นตอบรับความกังวลการเรียกคืนพื้นที่ Duty Free ทั้งขาเข้า ขาออกไปมากเกินไป เราเห็นโอกาสที่หุ้นปรับขึ้นหนุนจากจำนวนผู้โดยสารที่มีโอกาสสูงกว่าคาด
BH (TP 310 บาท) ได้แรงหนุนจาก Medical Tourism ซึ่ง BH มีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติสูงสุดในกลุ่ม ร.พ. นอกจากนี้ยังมีการขยายปริมาณเตียงและการปรับขึ้นราคาหนุนผลประกอบการ
CENTEL (TP 49 บาท) กำไรเติบโตแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในไทย มัลดีฟและญี่ปุ่น
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตรากำไรเพิ่มขึ้น
GPSC (TP 57 บาท) ได้ประโยชน์จากทิศทางราคาต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ขณะที่ค่าไฟคงที่ตลอดปีหนุนกำไร 67 เติบโต 61%YoY
ADVANC (TP 257 บาท) การแข่งขันอุตสาหกรรมที่ผ่อนคลาย หนุน ARPU เร่งตัวและได้ประโยชน์อัตรากำไรอุปกรณ์มือถือที่ Margin สูงหนุนกำไรปี 67 ขยายตัว 16%YoY
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ Black Monday ที่เกิดขึ้นล่าสุด เมย์แบงก์มองว่าเป็นเพียงการตอบรับของตลาดต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมา ตัวเลขภาคการผลิตสหรัฐก่อนหน้านี้ที่ออกมาหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน จึงทำให้ตลาดเกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสหรัฐจะยังไม่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อพิจารณาจากภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังเติบโตได้ดีและเครื่องมือทางการเงินที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังมีอยู่ในมืออย่างการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงได้
No comments:
Post a Comment