เมื่อวันที่ (11 พฤศจิกายน 2565) ที่กรมควบคุมโรค
นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคโควิด 19 ได้มีการระบาดไปทั่วโลก ทำให้ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิต จึงเริ่มมีการศึกษาว่าผลกระทบจากโควิดมีมากน้อยเพียงใด โดยข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) จากการสำรวจทั่วโลก พบว่าการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคโควิด 19 โดยตรง มีประมาณ 6 ล้านคน ซึ่งอาจน้อยกว่าความเป็นจริง มีการศึกษาจากองค์การอนามัยโลกและคาดการณ์ว่า การเสียชีวิตจากโควิดที่ระบาดในช่วงที่ผ่านมามีประมาณ 23-24 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาโดยการรวบรวมข้อมูลในปี 2020 และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้ข้อมูลว่า ปกติที่ไม่มีการระบาดมีการเสียชีวิตจำนวนเท่าไหร่ และเมื่อมีการระบาดจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตเท่าไหร่ โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตส่วนเกินเพิ่มขึ้น 85.2 ต่อประชากรแสนคน สหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 87.4 ต่อแสนประชากร เบลเยียมเพิ่มขึ้น 62.5 ต่อแสนประชากร ส่วนประเทศไทยเพิ่มขึ้น 34.5 ต่อแสนประชากร เป็นต้น
ทพญ.ดร.กนิษฐา บุญธรรมเจริญ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า การรายงานผลการเสียชีวิตส่วนเกิน หรือที่เรียกว่า เอ็กซ์เซสเดธ (Excess death) ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 ระหว่างปี 2563-2564 ที่ผ่านมา ซึ่งกระบวนการคือ นำช่วงเวลาที่มีการระบาดมาเทียบกับช่วงเวลาปกติ โดยใช้สถานการณ์ 5 ปี ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558-2564 เป็นฐานการคำนวณการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจริงในช่วงโควิดระบาด มาเทียบกับการเสียชีวิตที่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีการระบาดของโควิด ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับองค์การอนามัยโลก โดยข้อมูลภาพรวมการเสียชีวิตในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563-2564 จากกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข พบผู้เสียชีวิตมากในปี 2564 ส่วนปี 2563 มีผู้เสียชีวิตต่ำกว่าร้อยราย ส่วนใหญ่เสียชีวิตในโรงพยาบาล
ผลการศึกษาการเสียชีวิตส่วนเกินของประเทศไทยทั้งชายและหญิงในช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า พบเพศชายเสียชีวิตในปี 2564 เพิ่มขึ้น 18,302 ราย หรือ 6.2% ที่เพิ่มขึ้นจากการตายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากไม่มีสถานการณ์ระบาด ส่วนอัตราการเสียชีวิตส่วนเกินในเพศหญิงจะต่ำกว่าเพศชายอยู่ที่ 4,000 ราย หรือ 1.7% กลุ่มอายุที่พบอัตราการเสียชีวิตส่วนเกินสูงในเพศชาย คือ กลุ่มอายุ 50-64 ปี รองลงมากลุ่มอายุ 65-74 ปี ส่วนกลุ่มเด็ก 0-14 ปี ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ปกติ ส่วนเพศหญิงพบว่ากลุ่มอายุที่มีอัตราการเสียชีวิตส่วนเกินสูง คือ กลุ่มอายุ 15-49 ปี รองลงมาคือ อายุ 50-64 ปี ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุมีไม่มาก สำหรับภาพรวมการเสียชีวิตส่วนเกินของประเทศไทยทั้งสองเพศ ไม่พบการเสียชีวิตส่วนเกินในปี 2563 แต่พบการเสียชีวิตส่วนเกินในปี 2564 อยู่ที่ 4.2% หรือตายเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ไม่มีการระบาดอยู่ที่ 22,490 ราย โดยเป็นการตายส่วนเกินของเพศชาย 18,000 กว่าราย เพศหญิงประมาณ 4,000 ราย และในกรุงเทพมหานครพบการเสียชีวิตส่วนเกินมากที่สุด หากนำข้อมูลมาเทียบกับสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร พบว่า ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตส่วนเกินสูงในช่วงเดือน ก.ค. - ส.ค. ปี 2564 และค่อยๆ ลดลงในเวลาต่อมา
พญ.วรรณา หาญเชาว์วรกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าประเทศที่มีการฉีดวัคซีนสูงมีอัตราการเสียชีวิตส่วนเกินมากกว่าประเทศที่มีความครอบคลุมวัคซีนต่ำ จากข้อมูลในประเทศแถบยุโรป โดยเก็บข้อมูลการครอบคลุมวัคซีนของประเทศต่างๆ ในปี 2022 รวมแล้ว 50 กว่าประเทศ ยกตัวอย่างประเทศบัลแกเรีย ที่มีความครอบคลุมของวัคซีนต่ำ และมีการเสียชีวิตในเดือนสุดท้ายต่ำ สาเหตุส่วนนึงมาจากมีการเสียชีวิตส่วนเกินมาก่อนหน้าแล้ว และเป็นไปได้ว่าประเทศที่มีผู้เสียชีวิตเยอะจะมีการอิ่มตัว ดังนั้นความครอบคลุมการฉีดวัคซีนในประเทศบัลแกเรียไม่ได้เป็นปัจจัยโดยตรงที่เกี่ยงข้องกับเรื่องการพบผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยในช่วงเวลาถัดมา จึงสรุปได้ว่า อัตราการตายส่วนเกินแปรผกผันกับความครอบคลุมของวัคซีนและความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย และอัตราการตายส่วนเกินจะเพิ่มขึ้น 4.1 ต่อแสนประชากร เมื่อความครอบคลุมของวัคซีนลดลง 1%
สำหรับเรื่องประสิทธิผลของวัคซีนโควิดพบว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นทุกสูตรมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ 90% และป้องกันการป่วยรุนแรง 98% แต่เมื่อระยะผ่านไป ประสิทธิผลจะลดลง แต่จะลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับการฉีด 2 เข็ม ดังนั้น ความครอบคลุมของวัคซีนสัมพันธ์กับการลดลงของอัตราการตายส่วนเกินจากโควิด และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ที่พบในไทย มีประวัติไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ที่สำคัญไทยมีระบบเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนโควิด
ด้านนพ.สมเกียรติ กล่าวสรุปว่า ประเทศไทยได้ทำการศึกษาอัตราการเสียชีวิตส่วนเกิน 2 ปี (พ.ศ.2563-2564) โดยปีแรกตัวเลขน้อยกว่าคาดการณ์ เมื่อมีการระบาดโควิดแรกๆ เรามีมาตรการต่างๆ ที่เข้มข้น แต่ปี 2564 มีการระบาดเพิ่มขึ้น บางส่วนเสียชีวิตจากโควิด 19 อันเนื่องมาจากการครอบคลุมการฉีดวัคซีนยังไม่มาก ทำให้ติดเชื้อและมีอาการรุนแรงขึ้น ซึ่งกลุ่มที่มีการเสียชีวิตส่วนเกินมาก คือ วัยทำงานตอนปลาย ส่วนกลุ่มเด็กไม่มีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากปกติ ดังนั้น การศึกษาค่าการเสียชีวิตส่วนเกินของไทยในช่วงโควิด ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาอย่างอเมริกา สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในยุโรป
********************************
ข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2565
No comments:
Post a Comment